ขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ด้วยบริษัทส่งออกต่างประเทศมากประสบการณ์

การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดและเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น แต่การจะประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างไม่ใช่เพียงแค่การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ คือการเลือกบริษัทส่งออกต่างประเทศ หรือ Shipping ที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือ เพื่อดูแลสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพราะหากเลือกบริษัทที่ไม่มีระบบการส่งออกที่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลให้เกิดปัญหาจนกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของธุรกิจในตลาดโลกได้

ตลาดการส่งออก โอกาสที่น่าจับตามอง

ในปัจจุบันตลาดการส่งออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบทบาทสำคัญในระดับโลก ซึ่งธุรกิจที่ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดนี้ควรทำความเข้าใจถึงโอกาสและความท้าทายที่ต้องเตรียมรับมืออย่างละเอียด เพื่อเตรียมการส่งออกอย่างรอบคอบ

โอกาสสร้างการเติบโตในตลาดการส่งออก

1. ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

หากพูดถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากผู้บริโภคในยุคดิจิทัลนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น ด้วยข้อดีในด้านความสะดวก รวดเร็ว รวมถึงการเข้าถึงสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความนิยมในแต่ละท้องถิ่น

2. ความต้องการสินค้าจากตลาดเกิดใหม่

ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตของชนชั้นกลาง ทำให้เกิดความต้องการสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม หรือสินค้านวัตกรรม ซึ่งหากสามารถเจาะตลาดกลุ่มนี้ได้ จะช่วยสร้างโอกาสในการขยายตลาด เพิ่มฐานลูกค้าและยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ

ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการส่งออก โดยช่วยลดภาษีนำเข้า-ส่งออกและลดข้อจำกัดด้านการค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก เช่น

• AFTA (ASEAN Free Trade Area)  เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยมีเป้าหมายในการลดภาษีสินค้านำเข้า-ส่งออกให้เหลือ 0%-5%

• RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยสมาชิก 15 ประเทศ คือ กลุ่มประเทศอาเซียน ทั้ง ไทย บรูไน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และกลุ่มประเทศคู่ค้านอกอาเซียน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โดยจะช่วยลดภาษีสินค้าหลายประเภท ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

• TAFTA (Thailand-Australia Free Trade Agreement) เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย เพื่อช่วยลดภาษีและอุปสรรคด้านการค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น การส่งออกเนื้อไก่แปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งจากไทยไปยังออสเตรเลียที่มีความต้องการสูงในตลาด 

ความท้าทายที่ต้องเตรียมรับมือ

1. กฎระเบียบศุลกากรที่แตกต่างกัน แต่ละประเทศมีกฎระเบียบศุลกากรที่ซับซ้อนและแตกต่างกัน เช่น การกำหนดประเภทสินค้า อัตราภาษี หรือข้อกำหนดด้านการรับรองมาตรฐาน ซึ่งการไม่ปฏิบัติตามกฎอาจทำให้สินค้าถูกปฏิเสธการนำเข้า ถูกเรียกเก็บค่าปรับ หรืออาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่ง

2. ความไม่แน่นอนในตลาดโลจิสติกส์ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก เช่น ความผันผวนของค่าเงิน การขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงราคาค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า เช่น ต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น หรือระยะเวลาในการจัดส่งที่ล่าช้ากว่ากำหนด

ขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการส่งออก

การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศไม่ใช่เพียงแค่การบรรจุสินค้าและจัดส่ง แต่ยังต้องเตรียมความพร้อมในหลายด้าน เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้

1. การเตรียมเอกสาร

เอกสารเป็นหัวใจสำคัญในการส่งออกสินค้า โดยเอกสารที่ต้องจัดเตรียมมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าและข้อกำหนดของประเทศปลายทาง ซึ่งต้องตรวจสอบว่าข้อมูลในเอกสารถูกต้องและครบถ้วน ตัวอย่างเอกสารที่สำคัญ ได้แก่

• ใบแจ้งหนี้ (Invoice)  ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมูลค่าและจำนวนสินค้าที่ส่งออก

• ใบขนส่งสินค้า (Bill of Lading)  เป็นเอกสารที่ออกโดยบริษัทขนส่งเพื่อระบุข้อมูลการจัดส่ง

• ใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก (Import/Export License) จำเป็นสำหรับสินค้าเฉพาะ เช่น อาหาร ยา หรือวัตถุอันตราย

• ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)  เพื่อใช้ยืนยันว่าสินค้าผลิตในประเทศของผู้ส่งออก

• เอกสารการประกันภัยสินค้า  ระบุความคุ้มครองที่ได้รับระหว่างการขนส่ง

2. การปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การศึกษากฎระเบียบและข้อกำหนดของแต่ละประเทศเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการส่งออก

• ข้อกำหนดด้านศุลกากร  แต่ละประเทศมีกฎศุลกากรที่แตกต่างกัน เช่น การห้ามนำเข้าสินค้าบางประเภท หรือการกำหนดมาตรฐานสินค้า

• มาตรฐานสินค้า  เช่น สินค้าอาหารต้องมีใบรับรองความปลอดภัย หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน

• ภาษีนำเข้า-ส่งออก  โดยควรตรวจสอบอัตราภาษีและข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ให้ละเอียด เพื่อประหยัดต้นทุน

3. การประกันภัยสินค้า

การประกันภัยสินค้าเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสียหาย หรือการสูญหายของสินค้าระหว่างการขนส่งที่มีความเสี่ยงสูง โดยควรตรวจสอบเงื่อนไขของกรมธรรม์ เช่น วงเงินคุ้มครองรวมถึงประเภทความเสียหายที่ครอบคลุมอย่างละเอียด ตัวอย่างของการประกันภัยที่ควรพิจารณา ได้แก่

• ประกันภัยทางทะเล (Marine Cargo Insurance)  ที่ให้ความคุ้มครองสำหรับการขนส่งสินค้าทางเรือ

• ประกันภัยทางอากาศ (Air Cargo Insurance)  คุ้มครองสินค้าในกรณีเกิดความเสียหายระหว่างการขนส่งทางอากาศ

• ประกันภัยขนส่งสินค้าแบบ Door-to-Door  ครอบคลุมความเสียหายตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

บริษัท Shipping เคล็ดลับในการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออก

การส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบและการเลือกใช้บริการจากบริษัท Shipping ส่งออกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกบริษัทส่งออกต่างประเทศ หรือ Shipping ดังนี้

1. ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ

บริษัทที่มีประสบการณ์ในด้านการขนส่งระหว่างประเทศจะมีความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบและกระบวนการศุลกากรของแต่ละประเทศเป็นอย่างดี ทำให้สามารถจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็น

• การจัดการเอกสารสำคัญ  เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบขนส่งสินค้า รวมถึงใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก

• การแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน  เช่น ความล่าช้าในขั้นตอนศุลกากร หรือการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งในกรณีที่เกิดปัญหา

• คำแนะนำด้านการเลือกเส้นทาง  เสนอเส้นทางการขนส่งที่คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด

2. เครือข่ายและความครอบคลุม

บริษัทที่มีเครือข่ายการขนส่งที่กว้างขวางในหลายประเทศ สามารถช่วยให้การส่งออกสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น เช่น การมีบริการในหลายช่องทางจากหลายบริษัทขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางเรือ ทางอากาศ ทำให้สามารถปรับให้เหมาะกับประเภทสินค้าและจุดหมายปลายทางได้ในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

3. บริการที่ครบวงจร

การเลือกบริษัทที่ให้บริการแบบครบวงจรช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและลดต้นทุนในการส่งออก เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ส่งออกว่าทุกขั้นตอนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยอาจประกอบด้วย

• การจัดการเอกสาร  เช่น การออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (COO) หรือการประกันภัยสินค้า

• พิธีการศุลกากร  ดำเนินการด้านเอกสารและภาษีให้เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องผ่านหลายตัวกลาง

• การจัดส่งถึงปลายทาง  ครอบคลุมทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

4. ติดตามสถานะของสินค้าได้ตลอดเวลา

ระบบติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทั้งผู้ส่งออกและลูกค้าปลายทาง ลดความกังวล ในกรณีสินค้าไปถึงล่าช้า ทำให้สามารถติดต่อบริษัท Shipping เพื่อสอบถามเหตุผลและสถานการณ์ปัจจุบัน

เปลี่ยนการส่งออกให้เป็นเรื่องง่าย พร้อมขยายโอกาสธุรกิจในตลาดโลก ! ด้วยบริการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศที่ทั้งสะดวกและง่ายกับ EzyExpress เราพร้อมช่วยคุณจัดการทุกขั้นตอนโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่การจัดการเอกสาร พิธีการศุลกากร การเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม ไปจนถึงการติดตามพัสดุอย่างครบวงจร ด้วยบริการ EzyShip ที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการส่งออกสินค้า

สามารถเช็กราคาเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ของเรา หรือหากต้องการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามผ่านสายด่วน Ezy Express ได้ที่เบอร์ 061-398-3300 หรือ LINE Official @ezyexpress

EZY EXPRESS Team

พวกเราคือทีมจาก EZY EXPRESS ที่มีประสบการณ์ด้านการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศมากกว่า 30 ปี เราเชี่ยวชาญในการขนส่งระหว่างประเทศ ทั้งทางเรือ ทางอากาศ และทางบก ครอบคลุมทุกการขนส่งแบบครบวงจรด้วยมาตรฐานระดับสากล ซึ่งเราตั้งใจอยากจะแชร์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้การส่งสินค้าไปต่างประเทศของทุกคนเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกขึ้น

ข้อมูลอ้างอิง

1. การค้าระหว่างประเทศ - การส่งออก (EXPORT). สืบค้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 จาก https://bizportal.go.th/th/Home/Article/25