
ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งนอกจากจะต้องมีการบริหารจัดการสินค้าและรูปแบบการจัดส่งที่ดีแล้ว การมีความรู้เรื่องภาษีและพิธีการศุลกากรส่งออก ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ ซึ่งอาจจะต้องมีการจ่ายภาษีส่งออก และมีการเดินพิธีการศุลกากรในหลายขั้นตอน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะต้องจ่ายภาษีส่งออกประเภทไหนบ้าง เราสรุปเนื้อหาสำคัญที่คุณควรรู้เอาไว้ในบทความนี้แล้ว
รู้จัก ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
อากรขาออก หรือ ภาษีส่งออก
ภาษีอากรขาออก หรือ ภาษีส่งออก คือ ค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระก่อนนำสินค้าส่งออก ซึ่งกำหนดโดยกรมศุลกากรที่เป็นผู้จัดเก็บ โดยมีการกำหนดอัตราอากรไว้สำหรับสินค้า 9 ประเภท แต่ในปัจจุบันถูกยกเลิกเกือบหมดเหลือเพียง สินค้าประเภทหนังโค หรือหนังกระบือ และสินค้าที่ส่งออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมายองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ที่ยังคงต้องเสียอากรขาออกอยู่
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่ผู้ส่งออกสินค้าจะต้องเสียให้กรมสรรพากร โดยได้กำหนดอัตราภาษีส่งออกมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 0% คือ ไม่ต้องเสียภาษี แต่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษี มีการนำส่งใบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในกรณีที่เป็นการส่งออกทางไปรษณีย์หรือการนำติดตัวออกไปต่างประเทศ โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร
สรุปคือ การเรียกเก็บค่าภาษีส่วนใหญ่ จะเป็นความรับผิดชอบของผู้รับสินค้ามากกว่าผู้ส่งสินค้า ซึ่งเมื่อสินค้าได้เดินทางไปถึงปลายทางแล้ว จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ไม่เหมือนกัน โดยสามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของสินค้า พิกัดที่ส่ง และมูลค่าของสินค้า รวมถึงความร่วมมือเขตเศรษฐกิจระหว่างประเทศต้นทางกับปลายทาง
ขั้นตอนการเดินพิธีการศุลกากรขาออก
การส่งสินค้าทางเครื่องบิน (เขตปลอดอากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ)
ขั้นตอนที่ 1 การลงทะเบียนสำหรับผู้ส่งออกสินค้าในรูปแบบนิติบุคคล
เป็นการลงทะเบียน เพื่อขอเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากรหรือดำเนินการในกระบวนการศุลกากร โดยมีเอกสารดังนี้
หนังสือรับรองการเป็นหุ้นส่วนหรือบริษัท ซึ่งออกให้ไม่เกิน 3 เดือน
บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรหรือ ภ.พ.20 หรือ ภ.พ.09
สมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในนามบริษัท ห้างร้าน (ถ้ามี)
บัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง(Passport) ของผู้มีอำนาจลงนาม
แบบคำขอฯ ตามประกาศกรมศุลกากรที่ 61/2561 และ 64/2561
โดยผู้ที่จะทำการส่งสินค้าออกทางเครื่องบิน ควรจัดเตรียมเอกสารให้พร้อม และไปดำเนินการได้ที่ฝ่ายบริหารงานทั่วไป ชั้น 2 อาคารสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ขั้นตอนที่ 2 การส่งข้อมูลใบขนสินค้า
ผู้ส่งของออกสามารถส่งข้อมูลเพื่อขอใบขนสินค้าขาออกได้ด้วยตนเอง กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ฝ่ายบริการศุลกากร ที่ส่วนบริการศุลกากร 2 อาคาร CE ชั้น 1 โดยยื่นรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับใบขนสินค้า บัตรประชาชน และทำการชำระค่าธรรมเนียมภาษีส่งออกให้เรียบร้อย
ขั้นตอนที่ 3 เอกสารที่ใช้ดำเนินการขนย้ายสินค้า
ใบขนสินค้าขาออกซึ่งลงลายมือชื่อผู้ส่งของออก/ผู้รับมอบอำนาจแล้ว จำนวน 2 ชุด
บัญชีราคาสินค้า (Invoice)
Air Waybill
Packing list (ถ้ามี)
รายละเอียดข้อมูลใบขนสินค้าและใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอากาศยาน 1 ชุด
โดยผู้ส่งสินค้า สามารถยื่นข้อมูลใบขนสินค้าขาออกและข้อมูลใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอากาศยานได้พร้อมกัน ก่อนทำการขนย้ายสินค้าส่งออกไปยังจุด Checking Post (สถานีตรวจสอบ) โดยเลขที่ใบกำกับฯ จะใช้เลขที่เดียวกันกับใบขนสินค้า ซึ่งควรดำเนินการไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง ก่อนส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร
ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติพิธีการส่งออก
ผู้ส่งสินค้าทำการแสดงใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอากาศยาน และ Air Waybill ให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ส่วนบริการศุลกากร 2 (อาคาร CI) เพื่อทำการตรวจสอบสินค้า หากได้รับการยกเว้นการตรวจ (GREEN LINE) ก็สามารถดำเนินการส่งออกต่อไปได้

การส่งสินค้าทางเรือ
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมเอกสารใบขนสินค้าให้พร้อม
1. ใบขนสินค้าขาออกแบบต้นฉบับและสำเนา จำนวน 1 ฉบับ
2. บัญชีราคาสินค้า (Invoice) จำนวน 2 ฉบับ
3. แบบธุรกิจต่างประเทศ (Foreign Transaction Form) ได้แก่ ธต.1 จำนวน 2 ฉบับ
4. ใบอนุญาตส่งออกหรือเอกสารอื่นใด ๆ สำหรับสินค้าควบคุมการส่งออก
5. ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และเอกสารอื่น ๆ (ถ้ามี)
ขั้นตอนที่ 2 การยื่นข้อมูลใบขนส่งสินค้าต่อกรมศุลกากร
เมื่อเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการส่งข้อมูลใบขนส่งสินค้า โดยใช้ eb-XML ผ่านระบบ VAN หรืออินเทอร์เน็ตเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร ซึ่งหากได้รับการยืนยันข้อมูลถูกต้อง ระบบจะออกเลขที่ใบขนสินค้าขาออกให้ โดยผู้ส่งออกจะทำการชำระค่าภาษีส่งออก และชำระค่าธรรมเนียมใบขนสินค้าผ่านธนาคาร
ขั้นตอนที่ 3 การตรวจและปล่อยสินค้า
ผู้ขนส่งสินค้าจะนำสินค้าเข้าบรรจุในคอนเทนเนอร์ เมื่อบรรจุเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเข้ามาตรวจสอบและส่งรายงานการบรรจุไปยังระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร หากข้อมูลถูกต้อง ระบบจะกำหนดเลขที่ใบกำกับการขนย้ายสินค้า และส่งข้อมูลไปยังผู้รับผิดชอบการบรรจุ เพื่อออกใบกำกับการขนย้ายสินค้าพร้อมนำสินค้าไปยังท่าเรือหรือสถานที่ที่ส่งออก
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบสถานะของใบขนสินค้าขาออก
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะทำการตรวจสอบน้ำหนัก และรายละเอียดในใบกำกับการขนย้ายสินค้า พร้อมตรวจสอบสถานะของใบขนสินค้าขาออก ซึ่งหากสินค้าที่ทำการจัดส่งได้รับยกเว้นการตรวจ (GREEN LINE) ในระบบคอมพิวเตอร์ ก็สามารถดำเนินการส่งออกต่อไปได้
หากไม่อยากคิดมาก และไม่ต้องการดำเนินการส่งออกสินค้าด้วยตัวเองให้ยุ่งยาก เลือกใช้บริการจาก EZY Express เรามีบริการรับเดินพิธีการศุลกากรส่งออกแบบครบวงจรในมาตรฐานสากล ส่งสินค้าได้ไว ปลอดภัย ถึงปลายทาง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านสายด่วน Ezy Express ได้ที่เบอร์ 061-398-3300 หรือ LINE Official @ezyexpress
Comments